หมอเด็กอยากบอก

Mindfulness Moment เลี้ยงลูกอย่างไรให้มีสติ

07 ธ.ค. 2565

ในยุคที่หลายคนเชื่อว่า สตางค์เป็นสิ่งสำคัญกว่าสติ เราต่างทำทุกอย่างโดยมีเป้าหมายเป็นความมั่งคั่ง มั่นคง เราจดจ้องอยู่กับสิ่งต่างๆ นอกกายมากเสียจนบางครั้งเราก็พลั้งเผลอ หลุดคำพูดไม่น่าฟัง แสดงกริยาไม่น่าดู เพียงเพราะสิ่งเหล่านั้นไม่เป็นไปตามที่ใจเราคาดหวัง หรือในบางขณะเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นอย่างทันทีทันใด เราก็อาจเกิดความรู้สึกต่างๆถาโถมอย่างปัจจุบันทันด่วน จนทำอะไรไม่ถูก ไม่ว่าจะทุกข์ สุข เศร้า โกรธ เกลียด จนอาจทำให้เหตุการณ์ที่เกิดเลวร้ายกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งหมดนี้เป็นเพราะ...สติ ที่เรามักลืมจะนำออกมาใช้เมื่อถึงเวลานั่นเอง

ทำไมต้องมีสติ?

คุณแม่จอดรถส่งลูกหน้าโรงเรียนอนุบาลเหมือนทุกวัน หนูน้อยสวัสดีคุณแม่ สวัสดีคุณครู ขณะกำลังจะเดินเข้าประตูโรงเรียน สุนัขตัวใหญ่จากไหนไม่รู้วิ่งตรงเข้าหาลูกรัก เด็กน้อยตกใจส่งเสียงกรี๊ด โยนกระเป๋าแล้ววิ่งหนี ยิ่งหนี สุนัขตัวโตยิ่งวิ่งตาม คุณแม่ตะโกนบอกให้ลูกหยุดวิ่งแล้วรีบลงจากรถไปหาลูก คุณครูวิ่งเข้าไปกั้นระหว่างเจ้าตูบตัวโตกับหนูน้อย เด็กน้อยยังคงวิ่งด้วยความตกใจขาดสติ ทันใดนั้นก็สะดุดขาตัวเองล้มลงหัวเข่าขูดกับพื้น ดีที่คุณครูเข้ามากันสุนัขเจ้าปัญหาตัวนั้นได้แล้ว คุณแม่ไปถึงตัวลูกน้อยที่ร้องไห้ตัวสั่นเพราะความกลัว บาดแผลที่เข่าเลือดออกซิบๆ “นี่ถ้าหนูมีสติหยุดฟังแม่สักนิด ก็คงไม่เจ็บตัวอย่างนี้” คุณแม่คิดในใจ

เรื่องราวไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ทุกขณะ แม้ว่าเราจะระมัดระวังตัวเองเพียงใดก็ตาม แต่เราไม่อาจกำหนดปัจจัยภายนอกอื่นๆ ได้ เมื่อมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น หลายครั้งผู้ใหญ่อย่างเราๆ ก็เผลอสติแตก และทำให้เหตุการณ์ตรงหน้าเลวร้ายกว่าเดิม นับประสาอะไรกับเจ้าตัวเล็ก ที่เผชิญโลกได้เพียงไม่กี่ปี หากเราไม่ปูพื้นฐานให้ดี หนูน้อยก็อาจเตลิดทั้งกายทั้งใจ เหมือนดังเรื่องข้างต้น ที่โชคดีว่าเจ้าตัวน้อยไม่เป็นอะไรมากไปกว่าหกล้มเข่าถลอก แต่หากลูกน้อยวิ่งหนีลงไปที่ถนน เรื่องราวอาจเศร้ามากกว่านี้

นี่จึงเป็นคำตอบว่า ทำไมจึงต้องมีสติ เพราะสติ ทำให้เราอยู่กับปัจจุบัน และไม่เตลิดไปกับเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อยู่ตรงหน้า ทำให้เราคิด วิเคราะห์หาทางออกได้ถูกต้อง สติเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา เป็นอีกหนึ่งทักษะที่ต้องต้องปลูกฝังลูกรักตั้งแต่เล็กๆ ไม่ต่างไปจากทักษะอื่นๆ

ฝึกสติลูกรัก ทำอย่างไร

การฝึกสติให้ลูกรักอาจไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนการสอนลูกให้จับดินสอระบายสี แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถค่ะ เพียงแต่ต้องใช้ความสม่ำเสมอและผู้ฝึก ก็ต้องมีสติในการสอนเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้เด็กๆ ด้วยเช่นกัน เพราะการสอนเรื่องสตินั้น ทำได้ตลอดเวลา คุณพ่อคุณแม่อาจหยิบยกเรื่องราวในชีวิตประจำวันตั้งคำถามให้ลูกหมั่นสังเกตตัวเอง เช่น เมื่อกินอาหารแทนที่จะถามว่าอร่อยไหม ก็อาจถามว่า ลูกรู้สึกอย่างไรกับอาหารที่กินเข้าไป เพื่อให้เด็กได้สังเกตประสาทสัมผัสของตนเองว่ารู้สึกอย่างไรกับอาหารนั้น เมื่อลูกบอกว่าชอบหรือไม่ชอบ คุณพ่อคุณแม่อาจถามต่อว่า ชอบเพราะอะไร ไม่ชอบเพราะอะไร แล้วรสชาติที่ชอบคงอยู่นานไหม รสชาติที่ไม่ชอบล่ะ ในที่สุดเมื่อดื่มน้ำรสชาตินั้นก็หายไปใช่หรือไม่ เพื่อให้เจ้าตัวน้อยได้เรียนรู้ว่าทั้งสิ่งที่ชอบและไม่ชอบนั้น ต่างไม่คงอยู่ถาวร

เจ้าตัวน้อยบางราย เป็นเด็กซุกซนอยู่ไม่เฉย เห็นอะไรตื่นเต้นก็กระโดดไปมา คุณพ่อคุณแม่อาจฝึกลูกด้วยการบอกว่า หากเห็นอะไรที่ถูกใจ แทนที่จะรีบโผเข้าใส่ทันที ให้หยุดนิ่งและนับลมหายใจเข้าออก 5 ครั้งก่อน แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหาสิ่งนั้น แรกๆ อาจจะยาก แต่หากทำอย่างสม่ำเสมอ เจ้าตัวน้อยจะคุ้นเคยและเปลี่ยนพฤติกรรมได้ในที่สุด

ฝึกสติ ระงับโกรธ

สำหรับเจ้าตัวเล็กที่มีอารมณ์กราดเกรี้ยว ขี้โมโห หรือหนูน้อยขี้แย ร้องไห้บ่อยๆ การฝึกให้ลูกสังเกตลมหายใจตัวเอง แทนที่คุณพ่อคุณแม่จะดุหรือโอ๋เพื่อให้ลูกหยุดเกเร หยุดร้องไห้ ลองบอกลูกว่า “หายใจลึกๆ หายใจเข้า หายใจออกช้า” ด้วยน้ำเสียงที่สงบสุขุม เป็นฝึกให้เด็กรู้จักรับมือกับอารมณ์ของตัวเองได้อย่างที่ถูกวิธี แทนที่เด็กๆ จะจดจ่ออยู่กับเรื่องที่เขาหงุดหงิดหรือเสียใจ ก็ให้เขากลับมาอยู่ที่ลมหายใจ เพื่อทำให้รู้สึกดีขึ้น เมื่อคุณพ่อคุณแม่เห็นว่าลูกสงบลงแล้ว จึงค่อยพูดคุยและสอนสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป วิธีนี้ไม่เพียงแต่ฝึกเด็กๆ เท่านั้นนะคะ แต่คุณพ่อคุณแม่ก็จะได้ฝึกระงับสติอารมณ์ด้วยการดูลมหายใจ เพื่อไม่ให้ตนเองหงุดหงิดกับพฤติกรรมไม่น่ารักของลูกด้วย

ฝึกสติ กับกิจกรรมสนุก

  • เพื่อนซี้ลมหายใจ สำหรับเด็กเล็กการฝึกให้ดูลมหายใจเข้าออกเหมือนผู้ใหญ่ อาจยากเกินไป ลองให้ลูกนอนหงาย หาตุ๊กตาตัวโปรดมาวางบนหน้าท้องของลูก แล้วให้คุณหนูๆ สังเกตการณ์เคลื่อนไหวของตุ๊กตาที่ขยับตามลมหายใจ
  • เดินด้วยใจ ชวนลูกออกเล่นเกมสังเกตสิ่งข้างทาง ด้วยการพากันออกไปเดินเล่นรอบบ้าน โดยจูงมือกันเดินช้าๆ ไม่ส่งเสียงพูดคุย เพื่อจะได้สังเกตสิ่งรอบๆ กาย ฟังเสียงรอบๆ ตัว แล้วเมื่อกลับมาถึงบ้านจึงมาพูดคุยกันว่าคุณและลูกเห็นและได้ยินอะไรบ้าง
  • Spiderman sense หากเคยดูสไปเดอร์แมน จะรู้ว่าซุปเปอร์ฮีโร่แมงมุมสุดเท่ห์นี้ มีความสามารถพิเศษในการได้ยินเสียงที่อยู่ห่างไกล ไวต่อกลิ่นและการลิ้มรส ว่าแล้วลองให้ลูกแปลงกายนั่งหลับตา(นั่งสมาธิ) แล้วฟังเสียงที่ได้ยิน สังเกตกลิ่นที่มากระทบจมูก การหลอกล่อด้วยซุปเปอร์ฮีโร่ตัวโปรดน่าจะทำให้ลูกรักยอมนั่งนิ่งๆ สัก 5 นาทีก็เป็นได้

ข้อมูล พญ.ถิรพร ตั้งจิตติพร จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (โรงพยาบาลเด็ก)

แชร์บทความนี้

ร่วมบริจาคให้โครงการ

Angel Miracle ปาฏิหาริย์ต่อลมหายใจ ให้ทารกคลอดก่อนกำหนด

ร่วมบริจาคเพื่อจัดซื้อ “ตู้อบ” ช่วยเหลือทารกคลอดก่อนกำหนด
ยอดบริจาคขณะนี้

9,306,262

จำนวนผู้บริจาค

6,872